รีวิว Wall-E
ช่วงนี้ก็จะดูหนังเหงาบ่อยหน่อย อยากเก็บลิสต์ให้หมด สำหรับ Wall-E ก็เป็นอีกหนึ่งหนังเหงาที่เราอยากหยิบกลับมาดูอีกครั้ง เชื่อว่านี่เป็นหนังในดวงใจของหลายๆ คน ด้วยคอนเซ็ปต์แปลกใหม่ที่ให้หุ่นยนต์เป็นตัวดำเนินเรื่อง แถมยังแทบไม่มีบทพูดระหว่างตัวละครหลักเลยด้วย! ดูอนิเมะออนไลน์
Wall-E เล่าเรื่องของวอลล์-อี หุ่นยนต์เก็บขยะตัวสุดท้ายบนโลกนี้ เขามีเพื่อนอยู่คนเดียวคือแมลงสาบ รอบด้านเขาเต็มไปด้วยกองขยะและเศษซากอารยธรรมของมนุษย์ ดูก็รู้ว่าไม่มีมนุษย์คนไหนอาศัยอยู่บนโลกนี้แล้ว และสภาพของโลกก็ไม่น่าจะเหมาะสำหรับสิ่งมีชีวิต (เว้นไว้ให้แมลงสาบผู้ถึกตลอดกาลสักตัว)
ทุกๆ วันวอลล์-อีจะทำหน้าที่อย่างขมักเขม้น นั่นก็คือการบีบอัดขยะแล้วจัดการมันให้เข้าที่เข้าทาง ถ้าวันไหนเจอขยะที่ดูมีค่าหน่อย ก็จะเก็บกลับบ้านไปสะสมเป็นคอลเล็กชั่น วันหนึ่งเขาก็เจอเรื่องน่าประหลาด เพราะท่ามกลางความแห้งแล้งแร้นแค้นของโลกใบนี้ กลับมีต้นไม้ต้นเล็กๆ หลบซ่อนอยู่! แน่นอนว่าวอลล์-อีไม่พลาดเก็บเข้ากรุ
ในตอนกลางคืน วอลล์-อีจะกลับเข้าบ้าน และเปิดดูโทรทัศน์เครื่องเก่า ที่ซึ่งฉายหนังรักโรแมนติกเก่าๆ มีทั้งฉากที่ผู้คนเต้นรำ และฉากที่พระนางจับมือกัน วอลล์-อีดูแล้วก็อยากจะลองจับมือกับใครสักคนบ้าง แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นแค่ฝันลมๆ แล้งๆ เพราะมันไม่เหลือใครแล้วนี่นะ ความเหงาปกคลุมบรรยากาศอย่างรู้สึกได้ชัด การอยู่อย่างโดดเดี่ยว มีเพียงเพื่อนแมลงสาบบนโลกนั้นฟังยังไงก็ดูอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเกินจะทน
จนกระทั่งวันหนึ่ง วอลล์-อีก็ได้พบกับอีฟ หุ่นยนต์สาวรูปทรงล้ำ ที่ถูกยานอวกาศนำมาปล่อยทิ้งไว้ วอลล์-อีเจออีฟครั้งแรกก็หลงรักทันที แต่ช่วงแรกๆ อีฟก็จะเย็นชาและอารมณ์เกรี้ยวกราดหน่อย เห็นอะไรผิดสังเกตก็ยิงทิ้งตลอด แต่วอลล์-อีก็เข้าไปใกล้ชิดสนิทสนม ทำให้อีฟกลายเป็นเพื่อนของวอลล์-อีจนได้ วอลล์-อีพาอีฟเข้ามาในบ้าน โชว์สิ่งของต่างๆ ที่เขาเก็บสะสมไว้ให้ดู รวมไปถึงต้นไม้ด้วย
เมื่อพบเจอต้นไม้ ระบบของอีฟก็เก็บต้นไม้นั้นไว้ในตัวทันที และร่างของอีฟก็เหมือนจะเข้าสู่ sleep mode ไม่ทำงานแล้ว จุดนี้เราก็ได้ดูละว่าภารกิจของอีฟคือการลงมาตามหาว่าบนโลกยังมีสิ่งมีชีวิตที่สังเคราะห์แสงอยู่หรือไม่ ถึงอย่างนั้นวอลล์-อีก็ยังดูแลอีฟเหมือนเดิม พาไปไหนต่อไหนทั้งๆ ที่อีฟไม่ตอบสนอง แสดงให้เห็นเลยว่าความรักของวอลล์-อีที่มีต่ออีฟนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ
วันหนึ่ง ยานก็มาพาอีฟออกจากโลก วอลล์-อีก็ติดสอยห้อยตามไปด้วย จนได้ค้นพบว่าแท้จริงมนุษย์ยังไม่ได้หายไปไหน! พวกเขาใช้ชีวิตอันแสนสุขสบายอยู่บนยานที่เปรียบเสมือนสังคมขนาดใหญ่ ทุกๆ อย่างดูไฮเทคล้ำยุคไปหมด มนุษย์แทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย เสพสุขอย่างเดียว แม้แต่เดินยังไม่ต้อง เพราะนั่งเก้าอี้ที่พาเคลื่อนไปทุกที่ตลอดเวลา ตาก็มองแต่จอ พูดคุยกับคนผ่านจอ มีหุ่นยนต์มาบริการเสิร์ฟน้ำเสิร์ฟอาหารถึงที่ แต่ละคนนี่อ้วนท้วนสมบูรณ์แบบใกล้จะเป็นโรคกันแล้วทั้งนั้น
ผู้ควบคุมยานลำนี้ก็คือกัปตัน ซึ่งพอเขารู้ว่าอีฟสามารถเอาต้นไม้กลับมาได้ ก็ดีใจเพราะนั่นหมายความว่าสภาพของโลกนั้นเหมาะสมให้สิ่งมีชีวิตลงไปอยู่ สามารถพามนุษย์กลับโลกได้แล้ว แต่กัปตันก็ถูกหุ่นยนต์มือขวาอย่างออโต้คอยขัดขวาง เพราะออโต้เชื่อในคำสั่งล่าสุดของผู้นำว่า ไม่ต้องมายังโลกแล้ว มนุษย์ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้หรอก อยู่บนยานต่อไปนั่นแหละ
ระหว่างนี้เราก็จะได้เห็นภารกิจแย่งชิงต้นไม้ ระหว่างฝ่ายออโต้กับฝ่ายกัปตัน ที่มีอีฟและวอลล์-อีช่วยสนับสนุน พวกเขาจะสามารถกลับไปยังโลกได้หรือไม่?
นี่เป็นหนังที่ช่วงแรกๆ อาจจะดูเหมือนไม่มีประเด็นอะไรลึกซึ้ง เน้นไปที่ความน่ารักของตัวละคร ความกุ๊กกิ๊กของหุ่นยนต์ทั้งคู่มากกว่า แต่พอผ่านช่วงกลางๆ เรื่องไปเท่านั้นแหละ เราจะเริ่มเห็นประเด็นที่หนักหน่วงต่อมนุษยชาติ อย่าง “โลกร้อน” และ “เทคโนโลยี”
รีวิว Wall-E
หนังเรื่องนี้จำลองภาพที่มนุษย์เราทำลายโลกจนไม่สามารถดำรงอยู่ได้อีกต่อไป จึงต้องใช้เทคโนโลยีหลบหนีออกสู่อวกาศ การดำเนินชีวิตก็ยังพรั่งพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ ที่ดูๆ ไปแล้วเหมือนจะดี แต่เพราะมันมากเกินไป มนุษย์เลยกลายเป็นสิ่งมีชีวิตง่อยๆ ที่ทำอะไรเองไม่เป็น ไม่สนใจสิ่งรอบด้าน ใช้ชีวิตเสพสุขไปวันๆ ไม่ได้สร้างคุณค่าอะไรให้กับสังคม กดไปดูรีวิวการ์ตูนออนไลน์
เอาเข้าจริง ภาพที่เราเห็นในสังคมนี้ ก็คล้ายๆ กับปัจจุบันเหมือนกัน โดยเฉพาะการที่ผู้คนก้มหน้ามองจอมือถือ พูดคุยกันผ่านออนไลน์ ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างหรือผู้คนข้างกาย ยังไม่นับเทคโนโลยีสมัยนี้ที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
จนช่วยเหลือเราได้หลายอย่าง หุ่นยนต์เองก็ล้ำหน้าขึ้นกว่าเดิมมาก อดคิดไม่ได้ว่าในอีกหลายสิบปีข้างหน้า ชีวิตมนุษย์จะเป็นอย่างไร
ตัดมาที่ฝั่งหุ่นยนต์อย่างวอลล์-อีและอีฟ ที่เรารู้สึกเหมือนชีวิตมีคุณค่ามากกว่ามนุษย์บนยานเสียอีก วอลล์-อีและอีฟมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน พวกเขามีภารกิจที่ต้องรับผิดชอบ และแม้จะเป็นหุ่นยนต์แต่ก็มีการแสดงความรู้สึกที่ไม่ต่างอะไรจากมนุษย์เลย
ตรงนี้ชื่นชมคนที่พัฒนาตัวละครเลยว่าดีไซน์ออกมาได้ดีมาก ทั้งน่ารักน่าชังและแสดงอารมณ์ได้แบบเข้าใจแจ่มแจ้ง หุ่นยนต์ทั้งคู่แทบไม่พูดอะไรเลย แค่อุทานนิดๆ หน่อยๆ แต่เรากลับเข้าใจความรู้สึกพวกเขาอย่างกับพวกเขาพูดได้จริงๆ
อีกตัวละครหนึ่งที่เรารู้สึกว่าแย่งซีนมากๆ คือเจ้าหุ่นโม หุ่นตัวจิ๋วที่คอยปัดกวาดเช็ดถูยานให้สะอาดเสมอ โผล่มาทีไรก็เรียกเสียงฮาได้ทุกที เป็นตัวละครที่น่ารักไปอีก
ทางฝั่งกัปตันที่ควบคุมยาน ตอนแรกๆ เราก็ยังเฉยๆ กับเขา รู้สึกว่าเขาคงเหมือนมนุษย์คนอื่นๆ ในยาน แต่เอาเข้าจริงประทับใจกัปตันเหมือนกันที่มีใจมุ่งมั่นอยากกลับไปยังโลกเพื่อพัฒนาให้มันดีกว่าเดิม เราชอบตอนที่กัปตันเรียนรู้ว่าแต่ละสิ่งบนโลกคืออะไรบ้าง
มันสะท้อนให้เห็นว่า บนโลกนี้ยังมีอะไรสวยงามให้เราค้นพบอีกเยอะ และแม้มันจะเป็นสิ่งธรรมดาๆ อย่างเศษดินหรือหยดน้ำ แต่มันก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญซึ่งทำให้โลกสามารถดำรงอยู่ได้
การดำเนินเรื่องของหนังนั้นอาจจะไม่ถูกใจสายบู๊หรือหวือหวาเท่าไร เพราะดูกันตามจริงแล้วหนังค่อนข้างเรียบๆ และอาจชวนง่วงได้บางครั้ง แต่ด้วยความที่เหล่าตัวละครน่ารัก มันเลยทำให้เราอยากติดตามเอาใจช่วยพวกเขาต่อไป เมื่อประเด็นของหนังชัดขึ้น เราก็อยากรู้ด้วยว่าหนังจะจบแบบไหน
ความรักของวอลล์-อีและอีฟก็ค่อยๆ พัฒนามาตลอดทั้งเรื่อง วอลล์-อีนี่เปรียบเสมือนผู้ชายที่ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นไอ้ขี้แพ้ติ๋มๆ แต่ก็เป็นคนซื่อๆ ที่รักใครรักจริง พร้อมจะทุ่มให้กับคนคนนั้น ดูแล้วรู้สึกหลงรักตัวละครนี้มาก เอาใจช่วยตลอด
ส่วนอีฟนั้นก็คงเหมือนสาวแกร่งที่ยึดมั่นในภารกิจของตัวเอง แต่พอเจอความรักความเอาใจใส่เข้าไป ก็กลายเป็นคนอ่อนโยนได้ ฉากสุดท้ายก็เป็นอะไรที่กินใจ ตอนที่วอลล์-อีถูกรีบูธเครื่องใหม่แล้วจำอีฟไม่ได้ อีฟก็พยายามเรียกความจำด้วยการนำสิ่งของต่างๆ ที่วอลล์-อีเคยแนะนำตอนแรกนั่นแหละมาโชว์อีกครั้ง ดูแล้วตื้นตันใจดีมาก
Wall-E ถือเป็นหนังอนิเมชั่นสำหรับเด็กที่กล้าแหกกฏด้วยการเล่นกับประเด็นระดับโลกอย่างภาวะโลกร้อน และเทคโนโลยีที่มากเกินไป ถึงอย่างนั้นมันก็ถูกนำเสนอออกมาอย่างลื่นไหลและไม่หนักหน่วงเกินไป เป็นหนังที่สามารถดูกันได้ทั้งครอบครัว ผู้ใหญ่กลับมาดูอีกครั้งก็จะได้มุมมองที่ต่างออกไปจากครั้งก่อนๆ ที่ดูตอนยังเด็ก เพราะพอเป็นผู้ใหญ่ จะรู้สึกเลยว่าโลกแบบที่วอลล์-อีเผชิญอยู่นั้น ไม่ใช่โลกแบบที่เราอยากได้เลย…
ความรู้สึกหลังดู
WALL-E เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลออสการ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ดังนั้นการให้คะแนน 6 ของฉันจึงดูเหมือนเป็นการเสียสละ อย่างไรก็ตาม ฉันไม่ได้ทำสิ่งนี้เพียงเพื่อจะทำตามแบบแผนหรือเป็นคนงี่เง่า—ฉันแค่คิดว่ามันไม่มีโครงเรื่องที่ดีเป็นพิเศษ สำหรับแอนิเมชั่นนั้น ไม่น่าแปลกใจเลยที่มันสวยงามมาก อาจเป็นภาพยนตร์ CGI ที่สวยที่สุดในปัจจุบัน รีวิวอนิเมะ
เรื่องราวเริ่มต้นบนโลกที่รกร้าง ทุกที่คือขยะและเศษซากของเมืองที่ตายไปนานคือบ้านของ WALL-E หุ่นยนต์ เห็นได้ชัดว่างานของเขาคือช่วยขจัดสิ่งสกปรก และเห็นได้ชัดว่าเขาทำมาหลายศตวรรษแล้ว คุณไม่เห็นหุ่นยนต์ตัวอื่น ดังนั้นคุณคิดว่าพวกมันหยุดทำงานไปนานแล้ว ส่วนนี้ของหนังจะกินเวลาค่อนข้างนาน โดยไม่มีการโต้ตอบและไม่มีเรื่องราวมากนัก
ต่อมาไม่นาน ยานสำรวจก็ตกลงบนพื้นโลก และ WALL-E รู้สึกตื่นเต้นเพราะเห็นได้ชัดว่าเขาโดดเดี่ยว หุ่นยนต์ตัวอื่นดูไม่ค่อยจะโต้ตอบกับ WALL-E แต่ WALL-E ติดตาม ‘Eve’ ราวกับเป็นผู้สะกดรอยตาม ในที่สุด อีฟก็พบต้นไม้ต้นเดียวและดึงมันเข้าไปในเปลือกของมัน จากนั้นเธอก็ดูเหมือนจะปิดตัวลง อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้า
เรือก็มาถึงและพาเธอกลับไปที่ยานอวกาศครุยเซอร์ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยมนุษย์ที่เหมือนอ่อนแอ ดูเหมือนว่าจุดประสงค์ของอีฟคือเพื่อค้นหาหลักฐานการมีชีวิตบนโลก เพื่อให้มนุษย์กลับมาได้หลังจากหายไป 700 ปี ดูเหมือนว่าพวกเขาทำให้โลกนี้ไม่เอื้ออำนวยให้อยู่อาศัยได้ในช่วงปี 2100 และตอนนี้ บางที ถึงเวลาที่ต้องกลับบ้านแล้ว อย่างไรก็ตาม มีข้อผิดพลาดที่ไม่คาดคิดที่อาจขัดขวางไม่ให้เรือกลับมา
ปัญหาของฉันเกี่ยวกับเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการทำให้หุ่นยนต์มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ พวกเขาไม่ใช่มนุษย์และพวกเขาไม่สามารถมีความรู้สึกได้ แต่ในโลกของดิสนีย์ที่พวกเขามีอยู่ มันยากที่จะเชื่อ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น หุ่นยนต์ก็มีบุคลิกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
พวกเขาไม่ได้น่ารักนักและมีคำศัพท์ที่จำกัดมาก ด้วยเหตุนี้ 39 นาทีแรกจึงค่อนข้างน่าเบื่อ เนื่องจากไม่มีอะไรให้ทำมากนอกจากดู WALL-E (สำหรับ 15 นาทีแรกหรือประมาณนั้น) หรือ Eve และ WALL-E ในอีก 24 นาทีข้างหน้า เมื่อมนุษย์มีส่วนร่วม มันจะดีขึ้นเล็กน้อย-แต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ส่วนสุดท้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นฉากไล่ล่าและมนุษย์ก็แทบจะไม่มีบุคลิกเช่นกัน ฉันไม่เห็นว่าเด็ก ๆ จะนั่งนิ่ง ๆ ในระหว่างภาพยนตร์ได้อย่างไร และฉันคิดว่านี่เป็นภาพยนตร์ที่นักวิจารณ์ชื่นชอบ แต่ฉันนึกภาพไม่ออกว่าเด็กๆ จะรักด้วยความร้อนแรงแบบเดียวกับ TOY STORY หรือ MONSTERS, INC..
โดยรวมแล้ว เป็นหนังที่น่าดูมาก เลยให้ 7 เลยสำหรับศิลปะที่น่าทึ่ง แต่เรื่องราวที่ค่อนข้างน่าเบื่ออย่างไม่คาดคิดทำให้ได้คะแนนสูงขึ้น ฉันรู้ว่านั่นทำให้ฉันเป็นชนกลุ่มน้อย แต่ดูเหมือนว่าภาพยนตร์ที่ประเมินค่าสูงที่สุดของพิกซาร์ Heck หนังสั้นที่นำหน้า WALL-E (PRESTO) ดีกว่าหนังที่ตามมามาก
ฉันได้ยินบทวิจารณ์ที่หลากหลายเกี่ยวกับ WALL-E มีคนบอกว่ามันมหัศจรรย์ และคนที่บอกว่ามันเป็นหนังที่ประเมินค่าสูงไปมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา จะบอกว่าชอบหนังเรื่องนี้มาก เป็นหนังที่สวยจริงๆ อาจทำได้โดยใช้เวลานานขึ้นเล็กน้อย
แต่โดยพื้นฐานแล้วนี่เป็นมากกว่าภาพยนตร์ที่มีพรสวรรค์ในการร้องเพลง A List WALL-E มีใจจริงและจะทำให้เด็ก ๆ และแฟน ๆ ของ Pixar หลงใหลได้อย่างแน่นอน ทั้งหมดที่ฉันจะพูดก็คือฉันขอโทษที่ต้องใช้เวลานานมากในการดู ฉันจะยอมรับว่าฉันคิดไม่ออกเลยว่าจะดูหรือไม่ แต่ฉันดีใจที่ได้ทำ อนิเมชั่นนั้นยอดเยี่ยมมาก หนังทั้งเรื่องนั้นยอดเยี่ยมมากที่ได้ดู
ภาพยนตร์ทั้งเรื่องทำในรูปแบบภาพที่มีความซับซ้อนมาก และสีสันที่สดใสและพื้นหลังที่วิจิตรบรรจงทำให้ดวงตาดูเบิกบาน ดนตรีไพเราะ ธีมออร์เคสตรางดงาม แต่เพลงจาก Hello Dolly! ยอดเยี่ยมและเข้ากับเรื่องราวได้ดี การพูดถึงเรื่องนี้อาจดูบางสำหรับบางคน แต่เป็นเรื่องที่ง่ายมากที่ทำให้อบอุ่นหัวใจได้เช่นเดียวกันกับความลึกและความฉุนเฉียว
มีบางช่วงเวลาแห่งจินตนาการ เช่น การเต้นรำแบบไร้แรงโน้มถ่วงและการขับผ่านอวกาศ นักพากย์เสียงที่มี Fred Willard, Sigourney Weaver และ Pixar อย่าง John Ratzenburger ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม
และตัวละครทุกตัวก็น่ารัก สิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้คือ WALL-E เอง เขาต้องเป็นหนึ่งในตัวละคร Pixar ที่น่ารักและลึกซึ้งที่สุดเท่าที่เคยมีมา และผู้เขียนสร้างบรรยากาศที่น่าสยดสยองในฉากแรกๆ เพื่อให้เข้ากับความโดดเดี่ยวของฮีโร่ตัวน้อยของเรา
โดยรวมแล้วยอดเยี่ยมมาก อาจเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ดีที่สุดของปี 2008 9.5/10 Bethany Cox หากชื่นชอบการรีวิวของเรา อย่าลืมติดตามการรีวิวของเราด้วยนะมาดูกันเลย!!รีวิวหนังการ์ตูน