รีวิว moana
ในส่วนของ เป็นชื่อที่เคยคุ้นและหายไปจากความสนใจผู้ชมอนิเมชั่นนานมากๆทั้ง Ron Clements และ John Musker สองคู่หูที่ร่วมผลิตหนังอนิเมชั่นกับดิสนี่ย์มายาวนานตั้งแต่สมัยหนังยุควาดมือ ซึ่งถ้าพูดถึงผลงานของทั้งคู่ก็เป็นระดับคลาสสิกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น The Little Mermaid (1989) Aladdin (1992) หรือ Hercules (1997) ดูอนิเมะออนไลน์
อาจเป็นโชคดีของทั้งคู่ด้วยที่โปรเจคท์ดัดแปลงหนังสือเรื่องถัดไปที่พวกเขาจะสร้าง เกิดติดปัญหาด้านลิขสิทธิ์ทำให้โปรเจคท์ล่มไป สำหรับคนที่อายุมากและมีผลงานใหญ่ๆในอดีตมาแล้วอาจมองว่านี่เป็นจังหวะที่ควรจะยอมแพ้และพักผ่อนเสียที
แต่รอนและจอห์นเลือกจะกลับมาอีกครั้ง แถมมาพร้อมด้วยไอเดียสำหรับงานชิ้นต่อไปที่คิดใหม่หมดเพื่อจะได้ไม่เจอปัญหาเดิมๆเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ ที่สำคัญพวกเขาพกมาให้สตูดิโอถึง 3 ไอเดียเลยทีเดียว ความตั้งใจนี้เองมั้งที่ทำให้ Osnat Shurer รองประธานฝ่ายพัฒนาของดิสนี่ย์อนิเมชั่นสตูดิโอลงมาเป็นโปรดิวเซอร์ให้เป็นครั้งแรกด้วยตนเองเลยทีเดียว
ด้วยความที่ทั้งคู่มาจากหนังยุควาดมือ การมาทำหนังแบบดิจิตอล 3D ที่เป็นอนิเมชั่นสายหลักของสตูดิโอในปัจจุบันอาจเป็นเรื่องต้องตั้งตัวไกลไป พวกเขาจึงได้ผู้กำกับฝีมือดีที่ผ่านงานมาหลายเรื่องอย่าง Don Hall และ Chris Williams จาก Big Hero 6 (2014) มาช่วยกำกับร่วมด้วย นอกจากนี้ยังได้ Jared Bush
มือเขียนบทที่เพิ่งมีผลงานทั้งเขียนบทและกำกับร่วมในหนังม้ามืดของสตูดิโอเมื่อต้นปีอย่าง Zootopia (2016) มาทำหน้าที่เขียนบทหนังจากไอเดียของสองเสือเฒ่าด้วย นั่นทำให้ปีนี้ดิสนี่ย์มีหนังตัวเต็งออสการ์สาขานี้เข้าชิงถึงสองเรื่องทีเดียว และน่าแปลกด้วยที่ทั้งสองเรื่องพูดประเด็นบางอย่างคล้ายๆกัน เรื่องแรกคือ Zootopia และอีกเรื่องก็คือ Moana เรื่องนี้นี่เองครับ
และแม้ว่า The Princess and the Frog (2009) เวอร์ชั่นเจ้าหญิงผิวสีจะนับเป็นผลงานชิ้นหลังสุดของพวกเขา ซึ่งจะว่ากันไปก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จนักดูจากการที่หนังขาดทุนในบ้านตัวเอง ทั้งยังเป็นหนังตระกูลเจ้าหญิงเรื่องสุดท้ายก่อนดิสนี่ย์จะยุติการทำหนังอนิเมชั่นวาดมือด้วย เหมือนเป็นสัญญาณบ่งบอกอะไรหลายๆอย่างว่าถึงจุดสิ้นสุดกับการคิดงานแบบเดิมของทั้งคู่แล้ว
Moana นำตำนานเรื่อง มาวอิ (Maui) ครึ่งเทพครึ่งมนุษย์ที่แพร่หลายในกลุ่มประเทศทางแปซิฟิกใต้มาเป็นฐาน และเล่าเรื่องราวของ โมอาน่า เด็กสาวที่เกิดมาเป็นลูกหัวหน้าเผ่าของเกาะแห่งหนึ่ง ซึ่งเธอมีโชคชะตาที่ได้รับเลือกจากมหาสมุทรให้ออกไปทำภารกิจสำคัญในการพา มาวอิ ไปคืนหัวใจแห่งชีวิตและพิชิตปีศาจร้ายขนาดยักษ์ที่พ่นลาวาออกมาตลอดเวลา ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยเหลือโลกที่กำลังถูกความตายสีดำรุกกินก่อนที่ทุกอย่างบนโลกจะตายเสียหมด
ระหว่างทางก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยเพราะอุปสรรคมีตั้งแต่พ่อของเธอที่ไม่ยอมให้โมอาน่าออกทะเลเพราะความเป็นห่วง มาวอิที่มีนิสัยไม่เหมือนอย่างที่ได้ยินมาในตำนานสักนิด และส่วนสำคัญเลยคือความเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวโมอาน่าเองเป็น หรือคือการตามหาตัวตนของตัวละครเอกนั่นเองที่เป็นหัวใจหลักของเนื้อหาสุดยิ่งใหญ่เรื่องนี้
หนังมีการผสมหลายสูตรของดิสนี่ย์มาตั้งแต่ รูปแบบการเล่าที่ทำให้นึกถึงผลงานสุดเปรี้ยงตระกูลเจ้าหญิงดิสนี่ย์เรื่องล่าสุดอย่าง Frozen (2013) ทั้งการนำผู้หญิงมาเป็นตัวเอกโดยไม่มีเรื่องความรักมาเป็นแกนหลัก แต่เป็นเรื่องคุณค่าที่แท้จริงของตนเอง นี่ยังรวมไปถึงกลิ่นอายเพลงร้องต่างๆในเรื่อง ยิ่งเพลงขายอย่าง How Far I’ll Go ที่ชวนให้นึกถึงเพลงฮิตอย่าง Let It Go เหลือเกิน (ลงท้ายว่า Go เหมือนกันอีกแน่ะ)
นอกจากนั้นยังเป็นการผสมสูตรความสำเร็จเดิมของรอนและจอห์นมาใช้ด้วย ไม่ว่าจะฉากท้องทะเลเป็นพื้นหลังของเรื่องแบบใน ลิตเติ้ลเมอร์เมด เจ้าหญิงดิสนี่ย์ที่ไม่ใช่ฝรั่งผิวขาวแต่คมเข้มสวยตาโตไม่เป็นอาหมวยอย่างใน
มู่หลานและโพคาฮอนทัส ที่ทำให้นึกถึง อาลาดิน และวีรบุรุษกล้ามใหญ่ผู้ห้าวหาญที่ชวนนึกถึง เฮอร์คิวลิส ทั้งยังมีการใช้เทคนิคอนิเมชั่นมือวาดแบบดั้งเดิมมาผสมในหนังด้วยในฉากรอยสักของมาวอิที่คอยตอบโต้ไปมากับมาวอิตลอดเวลา ก็ทำให้เรื่องดูคอกเทลสูตรใหม่ได้เหมือนกัน
ความงดงามด้านภาพนี่อลังมากไม่สงสัยแล้วครับ ทั้งคน ธรรมชาติ น้ำ แสง คือสวยมากสมจริงมาก ดูเอนด์เครดิตเห็นว่ามีทีมด้านภาพของน้ำและเส้นผมโดยเฉพาะเลยด้วย นับว่าเป็นความใส่ใจในรายละเอียดที่ดีเลยครับ
ด้านเนื้อหา พูดถึงความหลากหลายและการยอมรับตนเอง ก็มีบางแง่มุมที่นึกถึงซูโทเปียเช่นกัน ก็นับว่าถ้ากระแสออสการ์ปีนี้เป็นไปในทางต่อต้านขวาจัดแบบทรัมป์มาแรง หนังอนิเมชั่นสองเรื่องนี้ก็มีสิทธิ์เป็นตัวเลือกเบอร์หนึ่งของคณะกรรมการออสการ์ได้เลยครับ
รีวิว moana
ความสนุก หนังมีกราฟอารมณ์ที่ลื่นไหลดีเลยครับ เส้นเรื่องมีสิ่งที่ชวนให้สนใจติดตามตลอดเวลา พอแล่นเรือเบื่อๆก็จะมีโจรสลัดแสนน่ารักออกมา หรือการตามหาอาวุธวิเศษก็ทำให้เจอตัวละครพิเศษที่น่าสนใจด้วยรีวิวการ์ตูนออนไลน์
ยิ่งการสรุปแบบมีหักมุมเล็กๆในตอนท้ายก็ส่งเสริมกับเรื่องราวที่ปูมาได้อย่างดีครับ ตบจบทุกปมที่ตั้งมาได้หมดไม่คาใจ มุกตลกก็มีมาแบบเรื่อยๆ ไม่ยั้งเหมือนกัน ทั้งจากมาวอิ และตัวประกอบอื่นๆ ที่เปี่ยมสีสันมากๆ และที่ขโมยซีนสุดๆ คงหนีไม่พ้นเจ้าไก่ตาถลนนาม เฮย์เฮย์ ที่แบบว่าเอามาฮาจริงจัง
แวะเล่าเกร็ดหนังนิดหน่อยครับ พูดถึงเจ้าเฮย์เฮย์แล้วก็ต้องเล่าว่า ตัวละครนี้เป็นคามิโอของสองผู้กำกับที่มักเอาตัวเองเป็นคาแรกเตอร์สัตว์มาโผล่ในเรื่องประจำ แต่ในหนังก่อนๆมักแค่โผล่มานิดๆหน่อยๆ แต่เรื่องนี้นี่มาแบบมีบทแทบตลอดเรื่องเลย ส่วนอีกตัวหนึ่งที่แทนผู้กำกับอีกคนก็คือเจ้าหมูพอลที่น่ารักน่าชังเหมือนกัน เสียดายว่าหากใส่มาตลอดเรื่องอีกตัวคงเฉลี่ยบทกันไม่พอก็เลยมาแจมแค่ต้นกับท้ายเรื่องเท่านั้นครับ
ส่วนที่ชอบเป็นพิเศษคือการที่คนทำพยายามแกล้งคนดูให้เหวอตลอดเวลาครับ เหวอในที่นี้คือผิดความคาดหมาย เช่นฉากที่นางเอกจะสวยๆ เท่ๆ ก็อาจโดนขัดแบบตลกๆ ได้ หรือการผจญภัยในฐานะผู้ถูกเลือกก็ไม่ได้สะดวกโยธินอะไรเลยครับ
ยิ่งช่วงต้นที่ออกเรือครั้งแรกแล้วเจอคลื่นซัดนี่ดูสมจริงน่ากลัวมากๆ คือถึงแม้หนังจะมีองค์ประกอบแบบแฟนตาซีเยอะมาก แต่ส่วนที่เรียลสุดๆก็ผสมอยู่ได้อย่างลงตัวและทำให้เรื่องคาดเดายากขึ้นด้วยครับ สนุกมากจริงๆ
หนังเอาใจเด็กๆมากครับ ส่วนผู้ใหญ่ก็ดูบันเทิงได้ไม่แพ้กัน มีข้อคิดอะไรมากเหมือนกันแบบพอสอนน้องๆที่ไปดูด้วยได้ หนังน่าจะประสบความสำเร็จเป็นโฟรเซ่นเวอร์ชั่นชาวเกาะได้ไม่ยากครับ น่าลุ้นทั้งรายได้และรางวัลเลยล่ะ
ความรู้สึกหลังดู
Moana คือชื่อของเจ้าหญิงดิสนีย์คนล่าสุด เป็นผลงานการกำกับของ รอน เคลเมนท์ กับ จอห์น มัสเคอร์ เจ้าของผลงาน Aladdin และ The Princess and the Frog มี อัลลิ‘อิ คราวัลโย่ เด็กสาววัย 14 ชาวฮาวายมาให้เสียงพากย์เป็น โมอาน่า ร่วมกับ ดเวย์น จอห์นสัน ที่ให้เสียง เมาอิ วีรบุรุษครึ่งคนครึ่งเทพจอมกวน รีวิวอนิเมะ
ขณะที่เพลงประกอบภาพยนตร์ซึ่งเป็นหัวใจของอนิเมชั่นดิสนีย์ในช่วงหลังได้ ลินมานูเอล มิแรนดา มาเป็นผู้แต่ง ทำดนตรีประกอบโดย มาร์ค แมนซิน่า จาก Tarzan
คราวนี้ดิสนีย์เปลี่ยนจากฤดูหนาวที่หิมะปกคลุมจาก Frozen มาเป็นฤดูร้อนอันอบอุ่นและสดใสใน Moana พร้อมพาคนดูไปเรียนรู้วัฒนธรรมของชาวโพลีนีเชียในพื้นที่เขตโอเชียเนียของมหาสมุทรแปซิฟิก หนังมีฉากหลังเป็นยุคโบราณของทะเลแปซิฟิกใต้
เล่าถึงการผจญภัยของ โมอาน่า ลูกสาวหัวหน้าผ่าที่ตัดสินใจออกเดินทางเพื่อตามหา เมาอิ วีรบุรุษในตำนาน หลังเกาะที่เผ่าของเธออาศัยอยู่ ซึ่งก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะเป็นเกาะสวรรค์อันอุดมสมบูรณ์ เปี่ยมไปด้วยความสุข แต่กลับต้องเผชิญกับพิษร้ายที่ทำร้ายพืชผล และปลาที่เคยมีอยู่มากมายก็หายไปจากรอบเกาะ
โมอาน่า จำต้องฝืนคำสั่งของพ่อแล้วทำตามภารกิจอันเก่าแก่ของบรรพบุรุษ เธอได้พบกับเมาอิมนุษย์ครึ่งเทพผู้ยิ่งใหญ่ แต่ก่อนที่จะให้เขาช่วยนำหัวใจของเทพฟิติไปคืนยังสถานที่เดิม ที่เมาอิเคยขโมยมันออกมาเมื่อประมาณพันปีก่อนเป็นต้นเหตุให้ความมืดเข้าปกคลุมไปทั่วทั้งมหาสมุทร เธอก็ต้องช่วยเขาทวงคืนอาวุธวิเศษอย่างตะขอคล้ายเบ็ดตกปลาที่มีเวทมนต์อยู่ส่วนปลายกลับมาให้ได้เสียก่อน
Moana เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นมีเสน่ห์ ตัวละครมีคาแร็กเตอร์ที่โดดเด่นชัดเจน ถือเป็นโอกาสดีที่จะทำให้คนทั้งโลกได้เรียนรู้ถึงวัฒนธรรมของชนเผ่าโบราณในหมู่เกาะทะเลใต้อย่างโพลีนีเชีย ส่วนตัวชอบเจ้าพัวหมูน้อยมากกว่าเจ้าฮาวฮาวไก่ขโมยซีนที่ชวนให้นึกถึงเจ้านกตาโปนใน Finding Dory ของพิกซาร์ หนังมีความสนุกสนานเป็นมหาชน เด็กดูดี ผู้ใหญ่ดูได้
แม้ว่าในหนัง เมาอิ จะแซวว่า โมอาน่า มีสัตว์ติดตาม แถมยังเป็นลูกสาวหัวหน้าเผ่าจึงมีความเป็นเจ้าหญิง แต่ความที่เธอยังดูเป็นเด็กอยู่ทำให้บ้างช่วงหนังมีกลิ่นอายของความเป็น Coming of age
ซึ่งดูจะกลบพาร์ทความเป็นเจ้าหญิงจนมิด อันที่จริงไม่ใช่เพราะว่าในบทหนังจงใจขีดเส้นให้ความสัมพันธ์ของ โมอาน่า กับ เมาอิ ให้เป็นแค่เรื่องของมิตรภาพ โดยปิดโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์ เพราะไม่จำเป็นต้องมีเจ้าชายก็เป็นเจ้าหญิงได้ อาทิ เอลซ่า กับ เมอริดา ตัวละครสองตัวนี้มีความเป็นผู้หญิงอยู่สูง ผิดกับ โมอาน่า ที่ยังมีความเป้นเด็กสาวอยู่มาก อดนึกถึงเด็กสาวใน Lilo & Stitch ไม่ได้
อัลลิ‘อิ คราวัลโย่ กับ ดเวย์น จอห์นสัน ทำได้ดีพอสมควรกับการพากย์เสียงและร้องเพลง การถ่ายทอดภาพสวยงาม ซาวด์ประกอบอลังการผสมกับเครื่องดนตรีท้องถิ่น เข้ากับบรรยากาศฮาวายๆ
น่าเสียดายที่เพลงประกอบของหนังไม่ค่อยมีพลังเท่าไหร่ คือฟังพอเพลินๆ คึกคักดี แต่ไม่ได้มีความหมายลึกซึ้งเมื่อเทียบกับหลายผลงานก่อนหน้าของดิสนีย์
Moana ดำเนินเรื่องราวแบบแฟนตาซี ฟุ้งฝัน ถึงจะมีองค์ประกอบพื้นฐานคล้าย Pocahontas แต่ผู้กำกับเลือกที่จะไม่จับประเด็นเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ โดยมุ่งไปที่เรื่องของการเชิดชูธรรมชาติสไตล์เดียวกับหนังจากค่ายอนิเมชั่นชื่อดังของญี่ปุ่นอย่างสตูดิโอจิบลิ
และการสร้างแรงบันดาลใจให้คนดูกล้าที่ออกจากเกาะของตัวเองไปตามหาสถานที่แห่งใหม่ ซึ่งจุดนี้เป็นการแฝงจิตวิญญาณตั้งต้นของชาวอเมริกันคือการเป็นนักสำรวจเข้าไปได้กลมกลืนทีเดียวหากชื่นชอบการรีวิวของเรา อย่าลืมติดตามการรีวิวของเราด้วยนะมาดูกันเลย!! รีวิวหนังการ์ตูน