รีวิว Dora The Explorer

หนังการ์ตูนสำหรับเด็ก ที่ทุกคนคงเคยคุ้นหน้าคุ้ยตามาบ้าง อย่างเช่นเรื่อง โดร่า สาวน้อยผมสั้น ที่ออกมาบ่อยๆ ในมีมปัจจุบัน เป็น การ์ตูนที่เรียกเสีงหัวเราะชั้นยอด ให้กับเราเป็นอย่างดี บอกเลยว่านี่เป็นหนังผจญภัยล่าขุมทรัพย์ที่กาว แต่เป็นกาวที่สนุกและเบาสมอง เรียกได้ว่าเน้นบันเทิงและโลกสดใส นั่นคือ Dora The Explorer ถ้าเพื่อนๆคนไหนอยากดูเต็มเรื่องสามารถเข้าไปรับชมได้ที่ ดูอนิเมะ

 

รีวิว Dora The Explorer-1

แถมยังขยี้ความเป็นการ์ตูนดอร่าออกมาได้โคตรจี้ คือขยี้แต่ต้นเรื่อง คือถ้าใครเคยดูการ์ตูนดอร่า และรู้จักเรื่องนี้ คุณจะได้เห็นแบบที่เห็นในการ์ตูน มาอยู่ในหนัง  ไม่คิดว่าจะได้มาเห็นอะไรแบบนี้..ขำปวดโหนกแก้มมาก ถึงแม้บางช่วงมันจะมากจนแป๊กก็เหอะ และที่ฮากว่านั้นคือเพื่อนผมที่มาดูด้วย ดันกระซิบบอกว่าน้องดอร่า คือใคร ทีมงานCast นักแสดงยังไง ทำให้รู้สึกตื่นเต้น จนอยากเข้าไปดูเองเลย ดูการ์ตูน 

ตัวนักแสดงดอร่า น้องค่อนข้างมีเสน่ห์ ตัวดึงจุดความสนใจ ให้เราหลงรักตัวละครดอร่า ความแก่น ร่าเริง ไม่ใช่นักแสดง จากการตูนซีรี่ย์ ของช่องยอดฮิตของคุณหนูๆ ในทวีปแถบอเมริกา Dora the Explorer เป็นเรื่องราวของสาวน้อยดอร่าที่รักการผจญภัยไปกับเพื่อนลิงจ๋อแสนรู้ โดยระหว่างการผจญภัย ซีรีส์ก็จะแวะสอนน้องๆหนูๆให้รู้จักคำศัพท์ภาษาสเปนผ่านหน้าจอโทรทัศน์ (ด้วยมุมกล้องที่ให้ดอร่าหันมาหาคนดูแบบตรงๆ เหมือนเธอกำลังพูดอยู่กับคนดูนั่นเอง) โดยแนวคิดที่ซีรีส์นี้มอบให้คือการให้น้องๆหนูๆรู้จักแก้ไขสถานการณ์ มีไหวพริบ กล้าแสดงออก เป็นต้น

 

 

เมื่อดัดแปลงมาเป็นภาพยนตร์ขนาดยาว ถ้าหากไม่มีการปรับเปลี่ยนสิ่งใดๆจากซีรีส์ Dora the Explorer ภาคการ์ตูน ก็คงจะเหมาะกับผู้ชมที่อายุไม่เกิน 5 ขวบเท่านั้น แต่สำหรับ Dora and the Lost City of Gold คือหนังการ์ตูน ที่เหมาะสำหรับผู้ชมทั้งครอบครัวจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อช่วงต้นเรื่องสมัยที่ดอร่ายังเป็นเด็ก หนังเลือกวิธีการแบบเดียวกับในซีรีส์ นั่นคือให้ตัวละครดอร่าหันมาคุยกับผู้ชม และทำให้ตัวละครพ่อแม่อย่างเอเลนา (อีวา ลองโกเรีย) แม่ผู้เป็นนักสัตววิทยาและโคล (ไมเคิล พีน่า) พ่อผู้เป็นนักโบราณคดี ถึงกับทำหน้างงว่าดอร่ากำลังทำอะไรอยู่ (ซึ่งเป็นการยั่วล้อกับเวอร์ชั่นการ์ตูน ว่ามันเป็นการนำเสนอที่พิลึก เมื่อมาอยู่ในหนังคนแสดง) แถมเอเลนายังคุยกับพ่ออีกว่า “เดี๋ยวโตขึ้น ก็คงหายเอง” เพื่อเป็นการบอกคนดูในทีว่า เมื่อดอร่ากลายเป็นตัวละครวัยรุ่น หนังก็จะไม่ใช้เทคนิคการสื่อสารกับคนดูแบบนี้แล้วเพราะมันประหลาดเหลือเกิน

เติบโตและใช้ชีวิตในป่ามาตั้งแต่เกิด ดอร่า สาวน้อยผมหน้าม้าที่ใช้ชีวิตอยู่กับ พ่อ กับแม่ นักสำรวจที่ปลูกฝังความช่างสงสัยให้เธอ จนกระทั่ง ดอร่า ต้องไปใช้ชีวิตในเมือง โดยได้่กลับไปพบ ดิเอโก (เจฟฟ์ วอห์ลเบิร์ก)ลูกพี่ลูกน้องคนสนิทที่เปลี่ยนไปจากสังคมไฮสคูล และขณะไปทัศนศึกษาที่พิพิธภัณฑ์ ดอร่าและเพื่อนๆก็ถูกกลุ่มนักล่าสมบัติลักพาตัวไปยังเปรูที่พ่อแม่ของเธอขาดการติดต่อไป

งานนี้ ดอร่า ดิเอโก และ แซมมี (แมดเดลีน แมดเดน) กับ แรนดี (นิโคลัส คูมบ์) เพื่อนใหม่ของทั้งคู่ต้องทำทุกทางเพื่อตามหาพ่อและแม่นักสำรวจที่หายตัวไป ก่อนเหล่าร้ายจะค้นพบ พาราพาต้า เมืองทองคำของเผ่าอินคาและฉกสมบัติไปจากที่ที่มันควรอยู่

 

รีวิว Dora The Explorer-2

 

รีวิว Dora The Explorer หลังดูจบได้อะไรบ้าง

พล็อตเดาง่ายมาก เดาได้ถูกหมดยันตัวร้าย เอาจริงๆ ถึงแม้การ์ตูนจะพยายามขยี้ความเป็น การ์ตูนดอร่า แบบจัดเต็ม แต่กลับเป็นแนวผจญภัยปริศนา ที่ดูสนุกเรื่องหนึ่งเลย โดยเฉพาะตอนท้ายเรื่อง ทั้งนี้ก็ยังคงมีความกาวและมุขการ์ตูนเล็กน้อย ถ้าไม่ติดว่ามันออกโทนที่ทำมาเพื่อให้เด็กดูเฉพาะนั่นแหละครับ คิดว่าทางผู้สร้างคงตั้งใจแต่แรกว่า ให้หนังจากการ์ตูนเด็กเรื่องนี้ ถ้าจะทำเป็นหนัง มันก็ควรไปให้สุดในทางของมันเลย ไม่จำเป็นต้องเน้นสมจริงสมจังอะไรมาก
อารมณ์เหมือนดู ดอร่า เดอะมูฟวี่ตอนพิเศษ อีกทีด้วย ประมาณนั้นรึเปล่า หนังจบลงตัวไม่ต้องกลัวว่ามีภาคต่อ ถ้ากระแสดีคงมีลุ้นได้ไปต่อ

และสิ่งที่ผมได้จากการดูเรื่องนี้ก็คือ การเป็นตัวเอง ถึงแม้จะผิดแปลกจากสังคม แต่เชื่อว่าการเป็นตัวเราเองดีที่สุดแล้ว ถ้าเรายอมรับที่เป็นเราได้ โดยไม่ต้องพยายามสร้าง ตัวตนปลอมๆขึ้นมา สักวันนึงคนรอบข้างจะหันมายอมรับเราเองเช่นกัน

เวอร์ชั่นนี้ถือเป็นความสร้างสรรค์ต่อยอดจากการ์ตูนที่ยังคงเสน่ห์เดิมเพิ่มเติมด้วยเนื้อหาที่ผู้ใหญ่ก็สามารถดูแล้วสนุกตามไปกับการผจญภัยล่าขุมทรัพย์โดยตัวหนังมีส่วนประกอบที่หนังแนวนี้ควรมีอย่างครบถ้วนดูๆ ไปคอหนังรุ่นใหญ่น่าจะนึกถึงอินเดียนาโจนส์อยู่ไม่น้อยแต่ทั้งหมดนี้อาจไม่ได้จริงจังเหมือนหนังเรื่องอื่นเพราะพื้นฐานของหนังสร้างมาจากการ์ตูนเด็ก

 

 

แน่นอนว่าการปรับตัวเข้ากับสังคมโรงเรียนไฮสคูลนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสักนิดเดียว แต่ดอร่าเป็นคนที่ซื่อสัตย์กับตัวเองมาก เป็นตัวของตัวเองจนกลายเป็นเป้าสายตาของนักเรียนคนอื่นๆ หนังจึงย้ายน้ำหนักไปที่การผจญภัยค้นหาขุมทรัพย์กับเมืองพาราพาต้าที่สาบสูญแทน โดยระหว่างนั้นเอง ความสนุกของเรื่องราวจึงยั่วล้อกับขนบหนังตามหาสมบัติ การวิพากย์พฤติกรรมของตัวละครที่ดูแปลกประหลาดในหนังตระกูลนี้ (ซึ่งหนังก็จะจิกกัดตัวเองผ่านตัวละครผองเพื่อนของดอร่า) หรือการที่ตัวละครต้องเอาตัวรอดจากสถานการณ์ต่างๆในป่า ก็เป็นอรรถรสที่ทำให้ผู้ใหญ่และน้องๆหนูๆสนุกไปด้วยกันอย่างไร้พิษภัยใดๆ

ส่วนนึงของความน่ารักของดอร่าถ้าไม่พูดถึงนักแสดงก็คงจะยังไงๆ นักแสดงในเรื่องนี้ ถือเป็นนักแสดงวัยรุ่นมากฝีมือ เล่นเป็นวัยรุ่นใน ลุคโตเป็นสาว ก็ดูดี เล่นเป็นเด็กใน Dora and the Lost City of Gold ก็ดูไร้เดียงสาน่ารัก และมีเสน่ห์ ดึงจุดความสนใจให้หลงรักในความโลกสวยของตัวละครดอร่าได้อย่างง่ายดาย รีวิวการ์ตูน

 แม้ว่าหลายเหตุการณ์จะเต็มไปด้วยความบังเอิญและโชคช่วยบ้าง แต่ในภาพรวมตัวหนังก็มีลูกเล่นหลายอย่างที่พยายามเอาใจคนดูแทบทุกช่วงวัย ทั้งจากตัวละครซีจีอย่าง เจ้าบูต ลิงจอมกวน และ สไวเปอร์ (ให้เสียงโดย เบเนซิโอ เดล โทโร) หมาป่าจอมโจรสวมที่คาดตา ที่ขยันมาขโมยซีนจนน่าจะกลายเป็นขวัญใจเด็กๆได้ไม่ยาก หรือเอาใจวัยรุ่นกับบทโรแมนติกแบบซึนดาเระ ระหว่าง ดิเอโก กับ แซมมี  ไปจนถึงมุกตลกกาวๆ และการผจญภัยที่น่าจะทำให้คอหนังรุ่นใหญ่นึกถึงหนังอินเดียนาโจนส์ ไม่น้อยเลยทีเดียว และในขณะเดียวกันการเพิ่มตัวละครวัยรุ่นทั้ง 3 ตัวยังทำให้เรื่องราวดูมีมิติมากขึ้น

โดย ดิเอโก เป็นตัวแทนเด็กหนุ่มสุดแปลกแยกที่พยายามเข้ากับคนอื่นจนต้องทำตัวเหินห่างจากดอร่า แซมมี เด็กสาวที่พยายามทำทุกอย่างให้เป็นตัวเองเป็นที่หนึ่งไม่สนใจความรู้สึกคนอื่น และ แรนดี เนิร์ดดาราศาสตร์สุดขี้ขลาด โดยเมื่อทั้ง 3 ตัวละครมาตกอยู่ในการผจญภัย พวกเขาก็ได้เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันซึ่งถือเป็นการให้ข้อคิดทางอ้อมกับเหล่าวัยรุ่นได้ดีเลย แม้ว่าหนังจะแตะประเด็นที่โรงเรียนน้อยไปนิดแต่ก็แลกมากับฉากผจญภัยสนุกๆที่อัดแน่นตลอด 102 นาทีของหนังก็ถือว่าคุ้มค่าทีเดียว

 

 

สรุปโดยรวมแล้วรีวิวการ์ตูนเรื่องนี้

จุดเด่นที่สุดของ Dora and the Lost City of Gold คงหนีไม่พ้นการเลือก อิซาเบลา โมเนอร์ ที่เคยปรากฎตัวในหนังฟอร์มยักษ์ทั้งหลายแหล่ มารับบท ดอร่า ที่เปลี่ยนภาพจำจากเด็กสาวหัวโตผมหน้าม้าด้วยลุคเด็กสาววัยรุ่นผิวสีน้ำผึ้งหน้าตาสวยๆแต่ยังคงผมหน้าม้าเป็นเอกลักษณ์ซึ่งพอแคส อิซาเบลา โมเนอร์ มาสวมวิญญาณเจ้าหนูจัมไมอย่าง ดอร่า แล้วต่อให้ยังคงคาแรกเตอร์พูดพล่ามไม่หยุดไว้ก็ยังน่ามองอยู่ดี แถมเธอยังแสดงได้อย่างน่ารักน่าชังโดยไม่ทิ้งส่วนดราม่าที่ใช้สายตาสื่ออารมณ์ได้ดีมากเลยทีเดียว

ส่วนนักแสดงสมทบส่วนใหญ่ก็ทำหน้าที่ในส่วนของฉากตลกๆได้ดี โดยเฉพาะไมเคิล เพนยา และ อีวา ลองเกอเรีย ที่รับบทพ่อแม่นักสำรวจสุดรั่วได้ฮามาก เจฟฟ์ วอห์ลเบิร์ก ก็โชว์ความหล่อเท่ในบทเด็กหนุ่มค้นหาตัวตนได้ดี, แมดเดลีน แมดเดน ในบทแซมมีก็ค่อยๆทำให้คนดูหลงรักเธอได้จากบทโรแมนซ์กับเจฟฟฺ์ วอห์ลเบิร์ก และ นิโคลัส คูมบ์ ในบทหนุ่มเนิร์ดก็ช่วยเสริมในทางคอเมดีได้ดีเช่นกัน ซึ่งก็ต้องยกย่องการกำกับของ เจมส์ โบบิน ที่มาสายคอเมดีทั้ง The Muppets (2011) และซีรีส์ชุด Ali G ที่กำกับการแสดงสายคอเมดีให้หนังแทบไม่มีช่วงน่าเบื่อเลย ดูไปหัวเราะไปได้ยาวๆ

 

 

นับว่าเป็นนิมิตหมายอันดีที่ Dora and the Lost City of Gold ได้เข้าฉายในสัปดาห์ต้อนรับวันแม่แบบนี้ ซึ่งตัวหนังก็เหมาะจะจูงลูกหลานทั้งครอบครัวไปสนุกกันจริงๆ โดยแม้หนังจะยังมีบางช่วงที่ดูเด็กน้อยอยู่บ้าง แต่มุกตลกต่างๆของหนังก็เวิร์กพอให้ผู้ใหญ่ได้บริหารขากรรไกรอยู่ครับ

ข้อดี หนังเล่าเรื่องได้สนุก ไม่มีจุดน่าเบื่อ และ การคงเอกลักษณ์ของดอร่า ไว้คือไฮไลต์สำคัญที่ทำให้ดูสนุกขึ้น ตัวละครน่ารักมากในผมหน้าม้า และการแสดงเป็นดอร่าก็ช่วยให้ตัวละครมีสีสันขึ้น บูท กับ สไวเปอร์ คือตัวละครซีจีที่เด็กๆจะชื่นชอบ

ข้อเสีย เนื้อเรื่องไม่ค่อยสมเหตุสมผล แต่แลกมาด้วยความสนุก โดยรวมถือว่าถ้าดูแบบถอดสมองเสพแต่ความสนุกอย่างเดียวนับว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ดีเลยครับ รีวิวอนิเมะ