รีวิวหนังการ์ตูน Perfect Blue

รีวิวหนังการ์ตูนในตำนาน เรื่องที่ผุ้คนกล่าวถึงกันมาอย่างยาวนาน ว่าด้วยเรื่องราวของสาวไอดอลที่กำลังผันตัวเปลี่ยนอาชีพไปเป็นนักแสดงสาวจึงได้แยกตัวออกมาจากเพื่อนในกลุ่มไอดอลของเธอ แต่เหตุการณ์ชวนสงสัยกลับเกิดขึ้นรอบตัวเธอพร้อมบทบาทนักแสดงสาวที่ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอฝันหวานไว้ พล๊อตเรื่องแบบนี้ ถ้าในปัจจุบัน คงจะมีให้เห็นกันทั่วไปใช่ไหมครับ แต่เรื่องนี้นับได้ว่าเป็นเรื่องแรกที่สร้างโครงเรื่องแนวๆนี้ออกมา เลยอยากให้ไปลองดูกันที่ ดูหนังออนไลน์

 

รีวิวหนังการ์ตูน Perfect Blue

 

หนังการ์ตูนจากประเทศญี่ปุ่นเรื่องนี้เป็นผลงานสร้างชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งโลกของ คุณ Satoshi Kon ของ Madhouse Studio ด้วยเนื้อหาที่ไปไกลเกินกว่าการเป็นการ์ตูนสำหรับเด็ก ประเด็นที่เสียดแทงทะลุเข้าไปเล่นในจิตใจคน และความกล้าหาญในการเล่าด้วยภาพที่รุนแรงแต่สมจริง ทำให้ Perfect Blue กลายเป็นแอนิเมชั่นที่ตราตรึงใจผู้ชม และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ เกิดเป็นภาพยนตร์จิตวิทยาชื่อดังของโลกเรื่อง Black Swan ลองเปรียบเทียบกันได้ที่ เว็บดูหนังฟรี

เรื่องนี้คือแอนิเมชั่นแนว Psychological thriller ที่สร้างโดยดัดแปลงมาจากนวนิยายชื่อเดียวกัน เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายปี 1993 Yoshikazu Takeuchi และ Koichi Okamoto หนึ่งผู้เขียนและหนึ่งโปรดิวเซอร์ ต้องการสร้างภาพยนตร์ยาว 90 นาทีที่ใช้คนแสดงจึงได้เสนอโปรเจ็กต์นี้ไปยัง Rex Entertainment แต่พอเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เมืองโกเบ ก็ทำให้โปรเจ็กต์ล่าช้าและในที่สุดก็กลายมาเป็นภาพยนตร์การ์ตูน อนิเมะ ชื่อดังสนั่นโลกในตำนาน ซึ่งถึงแม้จะผ่านกาลเวลาไปอย่างยาวนาน ก็ยังสามารถ ทำให้ติดตราตรึงผู้ชม จนได้รับการกล่าวถึงมาจนปัจจุบัน

 

รีวิวหนังการ์ตูน Perfect Blue-1

 

ในด้านของการสร้างภาพยนต์อนิเมชั่นที่ออกแนวจิตวิทยาในงานของ Satoshi Kon ค่อนข้างจะโดดเด่นพอสมควรทีเดียว ทั้งในด้านเนื้อเรื่อง ภาพ และกลวิธีการดำเนินเรื่อง แม้บางคนอาจจะไม่ชอบ ที่มันดูหนักๆ เกินไป ต่างจากแอนิเมชั่นจากโลกตะวันตกที่คุ้นเคย แต่นี่ก็คือ รูปแบบหนึ่งของแอนิเมชั่นที่ไม่จำเป็นต้องใช่งานสำหรับเด็ก เยาวชนดูเสมอไป

งานนี้ได้ Hiroaki Inoue มาเป็น Line Producer และ Madhouse Studio มาเป็นผู้รับผิดชอบโครงการดังกล่าว Katsuhiro Otomo เป็นผู้แนะนำให้ Satoshi Kon เข้ามารับหน้าที่กำกับฯ Perfect Blue จึงเป็นอนิเมะของ Satoshi Kon เลยทีเดียว 

บอกก่อนว่าผมสนใจงานของคุณซาโตชิมานานแล้ว ด้วยความที่ลายเส้นได้ใจสุดๆและอย่างที่บอกไปข้างบนว่างานเขาเป็นตัวจุดไอเดียให้หนังหลายเรื่องยิ่งทำให้ผมแอบสงสัยว่าหนังเขามันสุดยอดขนาดนั้นเลยเหรอมันจะขนาดไหนเชียว จนตอนนี้ได้ไล่ดูงานของเขาทั้งหมดเท่าที่มีและก็ยกให้เขาเป็นผู้กำกับคนโปรดในดวงใจไปซะแล้ว

แอนิเมะเรื่องนี้ยังได้รับการนำไปฉายครั้งแรกในงาน Fant-Asia Film Festival เป็นเทศกาล โปรโมทหนัง ใหญ่ยักษ์ของโลก และไม่น่าเชื่อว่าตั๋วเข้าชมหนังเรื่องนี้ ถูกขายหมดภายในครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ทั้งยังต้องเพิ่มรอบฉายอีก 2 รอบตามคำเรียกร้องของแฟนๆ ต่อมาได้เข้าฉายตามงานเทศกาล ภาพยนตร์นานาชาติอีกหลายต่อหลายงาน และได้กลาดรางวัลการันตีความนิยมและคุณภาพยอดเยี่ยมอีกหลายรางวัลทีเดียว 

 

รีวิวหนังการ์ตูน Perfect Blue-3

 

รีวิวหนังการ์ตูน Perfect Blue เนื้อเรื่องที่ล้ำยุคในขณะนั้น ซึ่งทำให้หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ

Perfect Blue เล่าเรื่องของสาวน้อย มิมะ นักร้องไอดอลวัยรุ่นขวัญใจมหาชน ที่ตัดสินใจหันหลังให้กับวงการไอดอลและเวทีคอนเสิร์ตในช่วงที่กำลังรุ่งสุดขีด มาหันหน้าเดินเข้าสู่เส้นทางการเป็นนักแสดง แม้ว่าจะสร้างความไม่พอใจให้กับเหล่าแฟนคลับที่ติดตามผลงานเธอมาตลอดก็ตาม

เมื่อชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น มักเป็นเรื่องที่ลำบากเสมอที่ต้องรับมือกับสิ่งใหม่ๆที่ได้พบเจอ มิมะก็ต้องประสบปัญหากับการเริ่มต้นเป็นนักแสดงเช่นกัน เธอต้องค่อยๆไต่เต้าจากนักแสดงโนเนมหน้าใหม่ที่เป็นแค่ตัวประกอบไม่ค่อยมีบท และเมื่อมีโอกาสที่จะได้เล่นบทที่มากขึ้น เธอก็จะตัดสินใจรับเล่น แม้ว่ามันจะเป็นฉากที่มีความรุนแรงทางเพศหรือต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวแค่ไหนเธอก็ยอม แลกกับชื่อเสียงและที่ยืนในวงการมายา จากไต่เต้า แต่พักหลังๆเหมือนจะเป็นเต้าไต่มากกว่า ซึ่งในขณะที่เธอเริ่มโชว์เนื้อหนังมากขึ้น คนรอบข้างเธอก็ค่อยๆถูกฆ่าทิ้งไปทีละคน มิมะจึงเริ่มวิตกจริตและมีอาการประสาทหลอน เธอค่อยๆดำดิ่งลงไปในโลกแห่งการแสดงจนเกิดภาพซ้อนระหว่างโลกความจริงและความฝัน จมอยู่กับความสงสัยสับสนข้องใจ เป็นคำถามที่ดังในใจว่า แท้จริงแล้วเธอเป็นใครและต้องการอะไรในชีวิตกันแน่

 

 

หนังแสดงด้านมืดของวงการบันเทิงได้จริงเสียจนน่ากลัว ด้านมืดที่มีทั้งความปลิ้นปล้อน หลอกลวง เล่ห์กลต่างๆ , อำนาจของเงินตรา และชื่อเสียง, ความเน่าเฟะของค่านิยมในสังคม และความรักความชื่นชมที่มากเกินไปจนควรเรียกว่าคือความลุ่มหลงมากกว่า

ชายลึกลับ หรือที่เรียกกันว่า สต็อกเกอร์ คือแฟนคลับที่พร้อมจะถวายชีวิตให้ และรูมิ ผู้จัดการส่วนตัวของมิมะ คือตัวอย่างของความลุ่มหลงดังกล่าว ทั้งคู่ต่างรักและเทิดทูนมิมะพอๆกัน คือรักมาก รักขนาดที่ว่าพร้อมจะมอบชีวิตและจิตวิญญาณให้ และยังหวงยิ่งกว่าไข่ในหิน ใครหน้าไหนที่มารุกล้ำหรือทำให้มิมะต้องหม่นหมอง ทั้งสองก็พร้อมจะเข้ามาปกป้อง และกำจัดมดหรือไรตัวนั้นให้สิ้นซาก

ไม่เว้นแม้แต่มดตัวที่ไต่อยู่นั้น จะหมายถึงตัวมิมะเองก็ตาม

 

 

เมื่อมิมะตัดสินใจปรับลุคของตัวเธอเองด้วยการปลดเปลื้องเสื้อผ้ามากขึ้น จนทำให้ภาพเก่าๆที่เคยเป็นไอดอลสาวสดใสจับไมค์ร้องเพลงเริ่มไม่ขลังอีกต่อไป แน่นอนว่าทั้งสต็อกเกอร์และรูมิต่างต้องรับไม่ได้ พวกเขาจึงทำหน้าที่แฟนคลับที่ดีจนเกินไป ด้วยการรับอาสาเป็นธุระในการไล่ตามลบล้างภาพใหม่ๆดังกล่าว ลามไปถึงการกำจัดต้นตอที่ทำให้มิมะต้องกลายมาเป็นดาราที่ขายเรือนร่าง ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดละครที่มอบบทแย่ๆแบบนี้ให้ หรือช่างภาพหนังสือวาปหวิวที่มอบคาแรกเตอร์ใหม่นี้ให้เธอ รวมไปถึงการตามรังควานเจ้าตัวมิมะเอง ซึ่งเปลี่ยนไปแล้วในสายตาของบรรดาแฟนๆ เธอกลายเป็นเพียงคนที่ทำให้มิมะคนเก่าที่พวกเขารักต้องแปดเปื้อน

ความรักในตัวอดีตไอดอลสาวของสต็อกเกอร์และรูมิอาจจะต่างกันตรงที่ตัวสต็อกเกอร์นั้น เราอาจเปรียบได้กับความงมงายของมนุษย์ที่มีต่อเทพพระเจ้า คือห้ามใครแตะต้องหรือดึงสิ่งที่เขาวางไว้บนหิ้งลงมาทำให้แปดเปื้อน เป็นความรักความศรัทธาที่เกินขอบเขต, ส่วนกรณีของรูมิ เธอหวังอยากจะเป็นอย่างมิมะ อยากจะยืนเฉิดฉายอยู่บนเวที อยากจะเป็นที่โปรดปรานของคนอื่น อยากมีชื่อเสียง แต่ทั้งหมดล้วนเป็นไปไม่ได้ เพราะรูปร่างหน้าตาของเธอทั้งอ้วนและไม่สวย ซึ่งค่านิยมของคนยุคนั้นมักเน้นไปที่หน้าตาหรือรูปร่างเสียส่วนใหญ่ มันจึงเป็นความรักที่คาบเกี่ยวอยู่บนความอิจฉา ซึ่งสุดท้ายพอถูกลอกออก จึงกลายเป็นอย่างฉากในตอนท้ายเรื่อง

ซึ่งการมีอยู่ของแฟนคลับอย่างสต็อกเกอร์และรูมิก็เหมือนเป็นการพูดย้ำคำถามที่คาอยู่ในใจของมิมะว่าตกลงแล้วเธออยากเป็นนักแสดงจริงๆหรือ แม้แต่ผู้รับชมอย่างเราก็คงสงสัยไม่แพ้กัน ว่าทำไมคนที่ยืนอยู่บนยอดของภูเขาสูงอย่างเธอ ถึงเลือกลงมาเดินสู้อยู่บนพื้นราบที่วุ่นวายเพื่อหาทางขึ้นไปยังเขาลูกใหม่ ทำไมต้องยอมเหนื่อยขนาดนั้น สงสารไปทั้งหัวใจเลยครับ

 

 

ประเด็นคำถามนี้ชวนให้ผมนึกถึงคำว่า พื้นที่ที่ภาค ภูมิใจ การได้ยืนร้องเพลงสวยๆบนเวทีที่มีแฟนคลับรอกรี๊ดและเป็นกำลังใจให้มากมายอาจเป็น Comfort Zone ของมิมะ อาจเป็นสถานะที่ทำให้เธอรู้สึกสบายใจ แต่เมื่อเธอลองชะโงกหน้ามองออกไปนอกโซนก็พบว่ามันน่าสนใจกว่าที่ๆเธอยืนอยู่ อาชีพนักแสดงช่างน่าค้นหา และเธอก็อยากจะลองเสี่ยงดูให้รู้ว่า เธอสามารถเป็นนักแสดงได้ มิมะจึงก้าวขาออกมาจากโซนที่คุ้นเคย ออกมาเสี่ยงอันตรายในโซนใหม่ที่เธอไม่รู้จักมันดีนัก

การเป็นที่ยอมรับของคนกลุ่มหนึ่งในฐานะนักร้องดูจะไม่เพียงพอให้เธอเริ่มต้นเส้นทางอาชีพนักแสดงได้อย่างสวยงาม อาจเพราะเธอเป็นที่รู้จักเพียงในหมู่คนฟังกลุ่มเล็กๆเท่านั้น มิมะไม่ต่างกับคนที่ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย ในช่วงแรกมันจึงยากสักหน่อยที่คนดูละครจะสนใจเธอ เพราะดังคำที่ใครๆเขาพูดกันว่า ของทุกอย่างล้วนมีราคาของมัน – หากการได้ขึ้นไปยืนในแถวหน้าของวงการมายาเป็นสิ่งของที่ว่า ราคาของมันก็คงจะสูงเอาเรื่อง ซึ่งในกรณีนี้ ราคาที่มิมะต้องจ่ายคือการยอมแสดงในบทที่มีฉากความรุนแรงทางเพศ และเปลื้องผ้าถ่ายแบบนู้ด เธออาจไม่ทันได้คิดว่า โอเคล่ะ คนดูรู้จักเธอแน่ๆแล้ว แต่รู้จักในฐานะของดาวโป๊ ไม่ใช่ดาวรุ่ง

ในขณะที่มิมะค่อยๆถลำลึกเข้าไปสู่โลกของการแสดง ประสาทรับรู้ของเธอก็ค่อยๆพร่าเลือนเข้าไปทุกที เธอเริ่มสับสนระหว่างโลกจริงที่เกิดขึ้นตรงหน้า และโลกเสมือนจริงที่เกิดขึ้นในฝัน ซ้ำร้ายยังมีภาพซ้อนของบทบาทที่เธอแสดงกับตัวตนจริงของเธอเองอีก (และคนดูอย่างเราๆก็ชักจะสับสนเหมือนกัน ว่าอันไหนโลกของความจริงหรืออันไหนคือโลกที่ถูกสร้างขึ้นมาจากจินตนาการของตัวละครภายในเรื่อง) จนสุดท้ายก็ดูคล้ายจะเป็นโรคจิตประสาท มองเห็นภาพหลอนบ่อยครั้ง ภาพหลอนซึ่งก็คือตัวเธอเองในชุดของนักร้องสาว หน้าตาผ่องใส เปื้อนรอยยิ้มแห่งความสุข เป็นรอยยิ้มที่เธอแสนจะโหยหา

ผมว่ามิมะเป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นตัวแทนของวัยรุ่นโดยแท้  วัยที่กำลังสับสน กล้าได้กล้าเสีย ชอบตั้งคำถามกับทุกสิ่งอย่าง ทั้งเรื่องรอบตัว และเรื่องตัวเอง วัยรุ่นมักจะคิดอยู่เสมอว่าชอบอะไร อยากทำอะไร อยากเป็นอะไร และที่สำคัญคือมักจะมีความฝันเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นหลักไมล์ที่ปักเอาไว้เพื่อใช้บอกตัวเองว่า ฉันต้องไปให้ถึงที่ตรงนั้นให้ได้ในสักวัน  และต้องทำฝันให้เป็นจริงให้ได้ นี่คืออีกหนึ่งสิ่งที่หนังเรื่องนี้ทำออกมาสู่สังคมได้อย่างเต็มที่

ถ้าความฝันของมิมะคือการได้เป็นนักแสดง ผมว่าเธอน่าจะเกลียดประโยคข้างต้นนี้ไปเลยก็ได้ เพราะบางทีความฝันก็สวยงามที่สุดเมื่อยามที่มันเป็นเพียงแค่ความฝัน หรือต่อให้มันไม่สวยงามสมบูรณ์แบบ อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่ความจริง

 

 

หลายๆคนที่ดูเรื่องนี้จบต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสุดยอด

นี่เป็นประโยคที่แฝงความคิดและข้อเท็จจริงที่หนังเรื่องนี้ฝากไว้ “คุณเองก็รับตัวเองไม่ได้ หากชีวิตที่เลือกไว้ไม่ได้เป็นอย่างที่ปรารถนา อาหารทางจิตเริ่มปรากฏตัวออกมา”

หากจะสรุปเรื่องราวของหนังใหม่ก็คงเป็นว่า มิมะเป็นไอดอลที่กำลังมาแรงแต่ทว่าเธอเลือกที่จะมาเป็นนักแสดงตามคำแนะนำของโปรดิวเซอร์ ซึ่งรูมิในฐานะของผู้จัดการส่วนตัวของมิมะก็พยายามค้านหัวชนฝาแต่ไม่สำเร็จ

รูมิเองนั้นก็เป็นอดีตไอดอล เราไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเส้นทางของเธอ แต่สุดท้ายดันกลายมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของไอดอลรุ่นน้อง

เหตุผลที่รูมิไม่อยากให้มิมะเลิกเป็นไอดอลนั้นไม่ชัดเจนแต่ก็เป็นไปได้ว่าเธออาจจะเคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มาก่อน เธอจึงเป็นห่วงมิมะ แต่ที่เป็นไปได้มากกว่า และหนังสื่อไปทางนั้นมากกว่าถึงมากกว่า คือลึกๆแล้วรูมิเกลียดมิมะ อาจจะทางตรงหรือทางอ้อม รูมิมองมิมะว่าเป็นคลื่นลูกใหม่ที่มาสาดซัดเธอให้หลุดออกจากวงการ รูมิโทษมิมะว่าเป็นสาเหตุ แต่กระนั้นความเกลียดเช่นนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ เธอจึงพยายามทำดีและดูแลมิมะอย่างมาก และในขณะเดียวกันเธอก็อยากเป็นมิมะซึ่งแน่นอนว่าเไม่มีทางเป็นไปได้ เธอจึงใช้มิมะเป็นตัวแทนของเธอที่จะประสบความสำเร็จในการเป็นไอดอลแทน ซึ่งพอนานเข้าเธอก็ได้สร้างตัวตนของเธออีกตัวที่เป็นมิมะขึ้นมา

แต่เมื่อมิมะเลือกที่จะเปลี่ยนเส้นทางชีวิตมาเป็นนักแสดง ทำให้ความฝันของรูมิแตกสลายกลางทาง รูมิในคราบของมิมะ แรกๆก็พยายามทำใจและฮึดสู้ แต่ด้วยอาชีพนักแสดงของมิมะตัวจริงจำเป็นต้องเล่นให้ได้ทุกบทบาท และในละครที่เธอเล่นก็มีฉากถูกข่มขืน ทำให้มิมะ(รูมิ)เริ่มทนไม่ค่อยได้ (เพราะบทบาทเริ่มไม่ได้เป็นอย่างที่รูมิต้องการ) เธอจึงสร้าง Me-Mami ขึ้นมาซึ่งเป็นมิมะในชุดไอดอลที่พยายามจะบอกมิมะ(รูมิ) ว่าเธอเป็นคนไม่ดี ปล่อยตัวให้ผู้ชาย และมิมะต้องเป็นไอดอลถึงจะถูกต้อง ในจิตใต้สำนึกของรูมิโทษ (projection) ว่าเป็นความผิดของคนเขียนบทและโปรดิวเซอร์ที่ทำให้มิมะต้องมาเล่นบทแบบนี้ (รวมถึงช่างภาพนู้ดของมิมะด้วย) เธอจึงฆ่าทุกคนที่เธอมองว่าเป็นสาเหตุโดยที่ใช้บุคลิกของ Me-Mima ในการฆ่าแทน

 

 

และจากเดิมที่บอกว่ารูมินั้นลึกๆแล้วเกลียดมิมะ ทำให้ ในฉากไล่ล่าตอนท้าย มิมะ 2  จึงพยายามจะฆ่ามิมะ(รูมิ)เพื่อที่เธอจะได้กลายเป็น มิมะ 2  หรือไอดอลมิมะอย่างสมบูรณ์ แต่อย่างที่เห็น มิมะ 2  พ่ายแพ้และกำลังจะถูกรถชนแต่มิมะ(รูมิ)ช่วยไว้ก่อน จุดนี้ก็บ่งบอกถึง จิตใจความเป็นคนและการใช้ชีวิต ของรูมิที่ยังอยากมีชีวิตอยู่

แล้วโอตาคุที่คอยตามมิมะล่ะคือใคร มีตัวตนหรือไม่ ประเด็นนี้น่าสนใจมากครับ ถ้าเป็นไปได้ผมไม่อยากจะสปอยเลย ดังนั้นขอเล่าความรู้สึกส่วนตัวหลังจากที่ได้ชมแล้วกันนะครับ

ส่วนตัวมองว่าโอตาคุคนนั้นก็คือหนึ่งในบุคลิกของรูมินั่นเอง ซึ่งบางครั้งภาพที่เราเห็นว่าผู้ชายคนนี้ปรากฏตัวกับมิมะก็อาจจะเป็นรูมิก็ได้ เช่นในฉากแรกๆที่เป็นคอนเสิร์ตของมิมะ แต่บางฉากอาจจะไม่มีมิมะเลยแต่เป็นตัวตนของรูมิทั้งหมดอย่างเช่นฉากในโรงถ่ายที่โอตาคุพยายามฆ่ามิมะเป็นต้น

ทั้งหมดทั้งมวลนั้นคือเรื่องราวของหญิงสาวที่บุคลิกภาพแตกสลายจนไม่สามารถแยกแยะโลกความจริงหรือลวงได้อีกต่อไป ซึ่งหนังเอาไปเชื่อมโยงกับวงการมายาที่เต็มไปด้วยความจริงที่ถูกแต่งแต้มสีสันขึ้นมาใหม่ นอกจากนั้นวงการไอดอลเองก็เป็นวงการที่มีความเฉพาะตัว ทั้งในแง่ตัวไอดอลเองก็ล้วนแล้วแต่ต้องแข่งขันทั้งกับตัวเองและไอดอลรุ่นใหม่ ส่วนแฟนๆก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง รักมากเกลียดแรง ซึ่งหนังสะท้อนให้เห็นภาวะเช่นนี้อย่างชัดเจนผ่านเหตุการณ์ในเรื่องที่แม้ว่าจะเป็นเพียงจินตนาการที่เกิดขึ้นในจิตใจของตัวละครเท่านั้นแต่กลับฉายให้เห็นสภาพความเป็นจริงของสังคมและวงการไอดอลได้อย่างเข้าใจ

Perfect Blue ผสมผสานงานภาพที่เข้มข้น น่าพิศวงกับประเด็นทางจิตวิทยาที่ซับซ้อน รวมทั้งบทสรุปของเรื่องที่ทำออกมาได้อย่างหักหลังคนดู (ในด้านของความรู้สึกภายในหนังนะครับ) ซึ่งทำให้เราต้องฉุกคิดกันใหม่ย้อนไปตั้งแต่ต้นเรื่องว่าสิ่งที่ดูมาตอนต้นเรื่องกับตอนจบนี่มันอะไรกัน จนต้องมองกันใหม่ตั้งแต่เริ่มอีกครั้ง  ทำให้กลายเป็นหนังที่ต้องถูกกล่าวถึงในฐานะหนังการ์ตูนจิตวิทยาเรื่องยอดเยี่ยมไปอีกนานทีเดียว

หากคุณชอบบทความรีวิวการ์ตูน สปอยการ์ตูน ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูนเอเชีย การตูนฝรั่ง หรือรีวิวหนังการ์ตูน

สามารถติดตามบทความดีๆ ข้อมูลวิเคราะห์เจาะลึก ถึงทั่วทั้งโลก การ์ตูน ได้ที่ เว็บรีวิวการ์ตูน